หน้าเว็บ

6 ต.ค.63 @ "ผู้พิพากษา 5 ท่าน ไม่อนุญาตให้ฎีกา" คดีที่ 1 อาญา_แจ้งความอันเป็นเท็จ ตอนที่ 1/2 @ "หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" ก่อนเตรียมฟ้องศาลทุจริตครั้งสำคัญของประเทศไทย

สวัสดีครับทุกท่าน ในที่สุดการต่อสู้เฉพาะตัวผมคนเดียว ที่ถูกฟ้องศาล 5 คดี และถูกแจ้งความดำเนินคดี 1 คดี ใกล้เดินทางถึงที่สุดในฐานะ "จำเลย" ฝ่ายตรงข้าม (ผู้นำคนพิการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) มีพฤติกรรมไม่เลิกต่อแย ทั้งในสำนวนคำอุทธรณ์ หรือฎีกา เนื้อหาปั้นน้ำเป็นตัว โกหก ไม่ตรงกับความเป็นจริง แม้ในชั้นพิจารณาคดี ให้การในชั้นศาล ก็พูดปด ไม่เกรงกลัวคำสาบาน ผมแทบไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เวลาผู้นำคนพิการคนนี้พูดอะไรออกไป ล้วนไม่เป็นความจริง แม้ในชั้นศาลก็ตาม ส่วนตัวผมเชื่อมั่นเลยว่า ตัวผู้นำคนนี้ในปัจจุบัน เวลาไปพูดเรื่องอะไร กับใคร ที่ไหน ก็คงไม่ได้รับความเชื่อถือ เหมือนทุกๆ คน ก็จะรู้นิสัยว่า พูดสิ่งใดเรื่องใด ให้หาร 5 หาร 10 ไว้ก่อน

กลับมาที่คดีที่ผมต้องเป็นจำเลย ในคดีแจ้งความเท็จนี้ ผมเรียกว่า "คดีที่ 1" ในชั้นศาลชั้นต้นได้มี คำพิพากษา "ยกฟ้อง" ไปแล้ว สามารถอ่านบทความที่ลิงก์นี้ครับ https://npr-pwd.blogspot.com/2019/09/11.html แต่ฝ่ายตรงข้ามหรือโจทก์ยังติดใจจึงอุทธรณ์ ทางเราก็ทำแก้อุทธรณ์มาส่งที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนผมได้รับหมายเรียกให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในวันที่ 24 เม.ย.63 ผมกับภรรยาก็มาตามศาลนัด และฟังคำพิพากษา "ยืนยกฟ้อง" ตามศาลชั้นต้น สามารถอ่านบทความที่ลิงก์นี้ครับ https://npr-pwd.blogspot.com/2019/09/17.html

"หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" ของคดีที่ 1_อาญา แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน

เมื่อฝ่ายตรงข้าม แพ้คดีจนถึงชั้นอุทธรณ์ ก็ยังเดินหน้าฎีกา ต่อ ผมทราบเรื่องจากการโทรศัพท์ติดตามไปที่ "ฝ่ายรับเรื่องอุทธรณ์และฎีกา" ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้ทราบว่า ผมยังไม่ต้องทำสำนวนแก้ฎีกา มาให้ศาล อันเนื่องจาก สำนวนยังไม่กลับมา ซึ่งในระหว่างติดตามเรื่องนั้น สังเกตได้ว่า ใช้เวลานานพอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับอีกคดี (คดที่ 2 อาญา_หมิ่นประมาท) ที่ทราบว่าต้องเขียนแก้ฎีกา ภายใน 15 วัน ในท้ายที่สุด ก็ทราบความจริงว่าเหตุใด ถึงใช้เวลานาน อันเนื่องจาก "คำฎีกา" ผ่านการพิเคราะห์จากท่านผู้พิพากษาถึง 5 ท่าน (ซึ่งผมจะได้นำมาแบ่งปันประสบการณ์ให้ได้ทราบกัน ในตอนที่ 2/2) ครับ

ประมาณ 1 เดือน ผ่านไป ผมติดต่อกลับมาที่ "ฝ่ายรับเรื่องอุทธรณ์และฎีกา" ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกครั้ง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ทราบว่า ท่านผู้พิพากษา "ไม่อนุญาตให้ฎีกา" ดังนั้น ส่งผลให้ผมต้องดำเนินการ ดังนี้
  • ยื่นคำร้องขอรับ "หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" ต่อท่านผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • ยื่นคำร้องขอสำเนา "ฎีกาของโจทกฺ" และ "หนังสือคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา" พร้อมรับรองสำเนา
ซึ่งในบทความตอนที่ 1/2 นี้้ ผมจึงอยากให้ผู้อ่านทุกท่าน ได้รับความรู้ไปด้วยกันครับ ผมนำคำร้อง 2 ฉบับ มาแบ่งปันทุกท่านมาให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยครับ

ตัวอย่าง "คำร้องขอหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" พร้อมรับรองสำเนา 1 ชุด (หน้าที่ 1/2)
ตัวอย่าง "คำร้องขอหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" พร้อมรับรองสำเนา 1 ชุด (หน้าที่ 2/2)



ตัวอย่าง "คำร้องขอฎีกาโจทก์และคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา" พร้อมรับรองสำเนา (หน้า 1/2)


ตัวอย่าง "คำร้องขอฎีกาโจทก์และคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา" พร้อมรับรองสำเนา (หน้า 2/2)


เมื่อยื่นเรื่องคำร้องทั้ง 2 ฉบับ เรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายเก็บสำนวน แจ้งด้วยวาจาว่า อีกประมาณ 3-7 วัน ให้ติดต่อกลับมาที่ฝ่ายเก็บสำนวน ว่า "หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" ออกแล้วหรือยัง โดยย้ำว่า ควรติดต่อมาก่อน ไม่ควรเดินทางมาเลย เพราะถ้าหนังสือไม่ออกจะเสียเวลา จากนั้นผมติดต่อมาที่ฝ่ายเก็บสำนวน ในวันที่ 9 ต.ค.63 และได้รับคำตอบมาว่า "หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" อกกแล้ว ให้มารับได้เลย ผมกับภรรยา จึงเดินทางไปรับหนังสือพร้อมคัดสำเนาฎีกา และคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ในวันที่ 14 ต.ค.63 ผมจึงขอนำหนังสือมาแบ่งปันให้ผู้อ่านทุกท่าน ได้เห็นเป็นตัวอย่าง ว่า เมื่อคดีความต่างๆ สิ้นสุดลงแล้ว เราในฐานะ "จำเลย" ต้องดำเนินการเช่นนี้ คือ การขอหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด มาเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่ออนาคตอาจจะนำไปใช้ประโยชน์อื่นได้ต่อไปครับ

"หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" ของคดีที่ 1_อาญา แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน

สำหรับคดีที่ 1_อาญา_แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน คดีที่ 2_อาญา_หมิ่นประมาท และคดีที่ 3_แพ่ง_หมิ่นประมาท (ต่อเนื่องจากคดีที่ 2) นั้นมีความเกี่ยวพันกันตรงที่ ผู้ฟ้องหรือโจทก์ เป็นคนๆ เดียวกัน เป็นผู้นำคนพิการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ยังเป็นผู้นำพาคนพิการอีก 5 คน ไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน กับ รองประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ ที่สถานีตำรวจพระนครศรีอยุธยา และตำรวจไม่ส่งฟ้องไปยังสำนักอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเนื่องจากข้อมูลหลักฐานไม่เพียงพอต่อการดำเนินคดี

จากฐานะ "จำเลย" ผมและคณะทำงาน กำลังจะเปลี่ยนสถานะเป็น "โจทก์" และเป็นโจทก์ที่มีพร้อมทั้งข้อมูลพยานหลักฐาน และพยานบุคคล ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ มากกว่า 2,000 หน้า และพยานกว่า 50 ปาก ส่วนจะฟ้องในมาตราใดนั้น ไม่ต้องสงสัยกังวลใจ เดี๋ยวรู้กัน ตอนนี้รู้อย่างเดียวว่า "จัดเต็ม จัดหนัก" แน่นอน ไม่หน่อมแน้ม ลิงหลอกเจ้าไปวันๆ แบบใครหลายๆ คน ที่อยากเป็นโจทก์ เพราะต้องการเอาคำโกหก ไปเรียกร้องเงินทองจากผู้นำคนพิการระดับประเทศ ที่ไม่รู้จะจัดการผมและคณะทำงาน อย่างไร จึงไปหลงเชื่อคำโกหก ของผู้นำคนพิการระดับจังหวัด

ที่ผมเงียบไป เพราะต้องใช้เวลาศึกษากฎหมายในฐานะ "จำเลย" ผ่านมาแล้ว 2 ปี ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะศึกษากฎหมายในฐานะ "โจทก์" ครับ โดยเริ่มต้นจากมูลค่า 10 ล้านบาทก่อน เนื้อหาสาระ ที่ผู้อ่านจะได้ความรู้อะไรบ้าง ผมจะนำมาแบ่งปันตลอดการดำเนินการ ให้ได้อ่านกันครับ สำหรับตอนที่ 2/2 ผมจะได้นำข้อมูลของการ "ไม่อนุญาตให้ฎีกา" มาแบ่งปันเป็นความรู้กับทุกท่านครับ

ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณคณะท่านผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 1 และกระบวนการยุติธรรม ครับ

พิมพ์เผยแพร่เมื่อ 17 ต.ค.63



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น