หน้าเว็บ

24 เม.ย.63 @ "คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1" คดีที่ 2 อาญา_หมิ่นประมาท ตอนที่ 1/3 @ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับบทความตอนนี้จะพิเศษกว่าคดีอื่นๆ ทั้ง 5 คดี นะครับ คดีนี้ผมเรียกว่า คดีที่ 2_อาญา หมิ่นประมาท ซึ่งฝ่ายตรงข้ามหรือโจทก์เป็นคดีเดียวกันกับคดีที่ 1_อาญา แจ้งความเท็จ ที่มีคำพิพากษา "ยกฟ้อง" ในศาลชั้นต้น เมื่อฝ่ายตรงข้ามอุทธรณ์ คณะท่านผู้พืพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็ พิพากษา "ยืนยกฟ้อง" ตามศาลชั้นต้น ด้วย ส่วนตัวผมอดทนในคดีนี้ เพราะตามที่ผมบอกไว้คือ คดีนี้จะพิเศษมาก ซึ่งผมจะได้ลงรายละเอียดจุดที่น่าสนใจให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ แต่ในเบื้องต้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่คดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ คณะท่านผู้พืพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ "พิพากษากลับให้ยกฟ้อง" ค้านกับคำพิพากษาในศาลชั้นต้น รายละเอียดเป็นอย่างไรตามอ่านกันครับ

คดีนี้ฝ่ายตรงข้ามใช้ข้อมูลหลักฐานเดียวกัน ฟ้องหมิ่นประมาทกับผมทั้งหมด 3 คดี ใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งในศาลชั้นต้นนั้น
  • จังหวัดปทุมธานี ท่านผู้พิพากษาได้พิพากษา "ยกฟ้อง" **หมายเหตุ: คดีนี้ผมยังไม่ได้พิมพ์บทความเนื่องจากมีข้อมูลหลักฐานบางส่วนที่สำคัญๆ ที่ต้องจัดเรียง และส่วนตัวผมนับว่าคดีที่ปทุมธานี เป็นคดีใหญ่เนื่องจากผู้ฟ้องเป็นเจ้าหน้าที่ราชการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิคนพิการ
  • จังหวัดสมุทรสาคร ท่านผู้พิพากษา ได้พิพากษา "ยกฟ้อง" ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งผมได้พิมพ์เป็นบทความไว้ถึง 6 ตอน (สามารถอ่านลิงก์ตอนที่ 1/5 "ยกฟ้อง" ที่ลิงก์นี้ https://npr-pwd.blogspot.com/2019/09/12.html และบทความรวมได้ที่ลิงก์ https://npr-pwd.blogspot.com/p/blog-page_8.html)
  • จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านผู้พิพากษา ได้พิพากษา "หมิ่นประมาท" **ตามอ่านในหน้าที่ 3 ของภาพที่ผมได้ลงไว้ในบทความนี้ แต่มีจุดน่าสนใจตรงที่ ท่านผู้พิพากษาได้พิจารณาคดี ให้ผมไม่ต้องรับโทษท้ายฟ้อง และไม่ต้องขอขมาทางรายการทีวี+โฆษณา ให้กับฝ่ายตรงข้าม ทำให้คดีนี้ ต่างฝ่ายต่างอุทธรณ์ คือ ฝ่ายตรงข้ามก็อุทธรณ์ให้ผมรับโทษเพิ่มและต้องขอขมาผ่านรายการทีวี อีกทั้งยังนำผลคำพิพากษาในครั้งนี้ไปฟ้องคดีที่ 5_แพ่ง หมิ่นประมาท ส่วนฝ่ายผมก็อุทธรณ์ว่า ขอให้คณะท่านผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์ "ยกฟ้อง" ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วปรากฎตามผลคำพิพากษาในบทความนี้ว่า คณะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 "พิพากษากลับให้ยกฟ้อง"

จากนี้ผมจะได้ขยายความรายละเอียดเท่าที่จำเป็น และให้ความรู้ไปตลอดเอกสารผลคำพิพากษา และหวังว่าทุกท่านนอกจากจะได้ความรู้จากประสบการณ์จริงของผมแล้ว ยังทราบข้อเท็จจริงควบคู่กันไปด้วยครับ ความอดทนเท่านั้น คนเราจึงจะกระทำความจริงให้ปรากฏได้

หน้าที่ 9 ของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ "พิพากษากลับให้ยกฟ้อง" ครับ ตามอ่านรายละเอียดกันครับ

ทนายของเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ (ที่ 3 จากซ้าย) ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร
ผมท้าวความเล็กน้อยครับ เดิมทีการอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ในคดีหมิ่นประมาทนี้ ต้องอ่านในวันที่ 22 เม.ย.63 แต่เนื่องจากคำพิพากษายังมาไม่ถึง จึงมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 27 พ.ค.63 ดังนั้นในวันที่ 24 เม.ย.63 หลังฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ คดีที่ 1_อาญา แจ้งความเท็จ "ยกฟ้อง ยืนตามศาลชั้นต้น" ไปแล้ว ขณะที่รอถ่ายสำเนาคำพิพากษาอยู่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ในฝ่ายงานอุทธรณ์ได้แจ้งว่า คำพิพากษาของคดีที่ 2_อาญา หมิ่นประมาท ที่นัด 27 พ.ค.63 นั้นมาแล้วมาพร้อมกัน ทำให้ทางทนายฝ่ายตรงข้าม เขียนคำร้องเพื่อขอฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์เลย ผมกับภรรยาจึงต้องรอขึ้นห้องพิจารณาอีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้วปรากฎตามคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ "พิพากษากลับ ยกฟ้อง ค้านกับศาลชั้นต้น" ซึ่งผมจะได้ลำดับความให้ได้ทราบความจริงและข้อมูล ดีงนี้ครับ





จะเห็นว่าหากทุกท่านได้อ่านความในหน้าที่ 1-4 จะพอเข้าใจความตามลำดับ ผมขอย่อความให้กระชับขึ้น คือ
  • ผมได้ไปกระทรวงแรงงานเพื่อให้ข้อมูลการทุจริตคอรัปชั่นขององค์กรคนพิการ และข้อมูลการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งผมเองได้ทำแผนผังเชื่อมโยงตัวบุคคลไว้ด้วย และสืบเนื่องจากมีการออกมาคัดค้านการร้องเรียนของผมก่อนหน้านี้ ดังนั้นในแผนผังผมจึงใส่ชื่อนามสกุลของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเข้าไปด้วย เพื่อประกอบการอธิบาย ซึ่งสำหรับผู้ฟ้องศาลผมในคดีนี้นั้น ส่วนตัวผมไม่เคยร้องเรียนเขาแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยแม้แต่จะมีเศษเสี้ยวในสมองของผมเลย ทั้งๆ ที่ผู้นำคนพิการระดับจังหวัดคนนี้ ตลอด 3 ปีเต็ม ตามราวี ร้องเรียนเข้าข่ายลักษณะทำหนังสือสนเท่ห์ ให้ข้อมูลเท็จ ร้องเรียนเท็จ และฟ้องศาลเท็จ ผมมาโดยตลอด ปรากฎเป็นหลักฐานมากมายหลายหน่วยงาน ซึ่งผมจะเปิดโปงในเร็วๆ นี้ ในภาคที่ 1 ของทั้ง 5 ภาค **สามารถตามอ่านได้ที่ลิงก์นี้ https://npr-pwd.blogspot.com/p/blog-page_8.html
  • ในตอนที่ 2/3 ผมจะได้นำหลักฐาน ขยายความให้ทุกท่านได้อ่าน เนื่องจากผมพิจารณาวิเคราะห์เองตามคำพิพากษา ว่าอาจจะเป็นอีกข้อมูลหลักฐานหนึ่งประกอบการพิจารณาของคณะท่านผู้พิพากษาอุทธรณ์ภาค 1 ประกอบฎีกาที่ใช้สนับสนุน ซึ่งตามข้อเท็จจริงคือ ผมไม่ได้เป็นคนทำสกู๊ปรายการข่าว อีกทั้งผมไม่เคยพูดหรือกล่าวถึงโจทก์ในคดีนี้เลย ***ว่ากันจริงๆ นะครับ ผู้นำคนพิการระดับจังหวัดคนนี้ ผมสงสารลูกๆ ของเขา ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดทำอะไร ทำร้ายหรือใดๆ หรือถ้าจะแรงๆ ก็คงประมาณ ไม่ได้อยู่ในสายตาผม ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ***แต่หลังจากที่คนๆ นี้ มาฟ้องศาลเท็จ อะไรมากมายผมขนาดนี้ ผมเริ่มรู้สึกสงสัยแล้วว่า ทั้งๆ ที่ครอบครัวเขายากจน เคยขอเงินผมหลายครั้ง ผมให้ภรรยาผมโอนเงินไปให้ เราก็มีหลักฐานการโอนเงิน เขาไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ทำงานผมยกโน๊ตบุ๊คให้ใช้ 1 เครื่อง เขาอยากบริจาคข้าว+น้ำดื่ม+ของแห้ง ให้คนพิการ ผมทั้งบริจาคและขอรับบริจาคจากคนอื่นมาให้เต็มคันรถกระบะให้เขาไปแจก เขามารับถึงบ้านผม มีภาพถ่ายมีหลักฐานทั้งหมด เขาอยากมีรถตู้ใช้งานมาเบิกเงินล่วงหน้าไป 2 แสนกว่าบาท ผมมอบหมายให้คุณเทพเทวิน แสนโภชน์ดูแล ก็มีสัญญายืมเงินซึ่งก็ยังคืนเงินไม่ครบ ครอบครัวเขาไม่มีอาชีพ ผมจึงให้ทุน 2 หมื่นไปทำอาหารกลางวันมาส่งในโครงการที่ผมบริหารจัดการ ก็มีหลักฐานการโอนเงิน ผมทำดีมีบุญคุณกับเขามากมาย จนครอบครัวผมสงสัยว่า ครอบครัวผมไปทำอะไรเขา ***ที่สงสัยต่อคือ เมื่อเขายากจน เขาเอาเงินที่ไหนมาวางศาล เอาเงินที่ไหนมาจ้างทนาย ทุกท่านสงสัยเหมือนผมไหม หรือไม่ อย่างไรครับ ถ้าสงสัย เร็วๆ นี้ผมอาจจะนำข้อมูลมาแบ่งปันกันครับ 
  • เมื่อท่านผู้พิพากษาได้มีคำพิพากษาว่า ผมหมิ่นประมาท (หน้า 3-4) ผมก็ไปทำเรื่องรายงานตัวตลอด 1 ปี จนถึงวันนี้ผมได้รายงานตัวไปแล้ว 2 ครั้ง ผมทำตามคำสั่งศาลครบถ้วน แต่ผมก็อุทธรณ์พร้อมแนบหลักฐานจำนวนมากถึงความบริสุทธิ์ใจ สุจริตต่อการร้องเรียนพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้นำคนพิการระดับจังหวัดคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมทำหนังสือร้องเรียนกว่า 100 ฉบับไปยังหน่วยงานต่างๆ ไม่มีแม้แต่ชื่อของผู้นำคนพิการระดับจังหวัดคนนี้เลย บางทีผมก็นึกนะครับว่า ***ผู้นำนคนพิการคนนี้ สำคัญตัวเองผิดไปรึเปล่า ตอนขึ้นศาล ผมจำได้เลยว่า คำว่า "ประธานชมรมฯ ระดับจังหวัด" ยิ่งใหญ่คับโลกใบนี้เลย ผมได้รับรางวัลต่างประเทศระดับนานาชาติ 2 รางวัล ผมยังไม่เคยเอารางวัลเหล่านี้ไปกล่าวอ้าง อวดอ้างอะไรที่ไหนเลย ถ้าไม่ใช่ว่าต้องไปบรรยาย หรือต้องทำงานในหน้าที่ที่ต้องอ้างอิงรางวัลที่ได้รับ ครับ



ในหน้าที่ 4 นี้มีจุดน่าสนใจคือ ที่ผมขีดเส้นใต้สีแดงว่า "ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว" เป็นความรู้ใหม่ของผมที่พึ่งทราบว่า การวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์จะมีท่านผู้พิพากษาเป็นคณะในการวินิจฉัย และยังมีภาษาทางกฎหมายเรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ว่า "ศาลสูง" ทำให้ในชั้นอุทธรณ์ จะเป็นอีกขั้นหนึ่งของการต่อสู้ผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่ตัวผมในฐานะจำเลย มีกำลังใจที่จะส่งข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการอุทธรณ์ แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามก็อุทธรณ์เช่นกัน




สำหรับหน้า 5-6-7 มีเนื้อหาร้อยเรียงกันต้องอ่านเชื่อมโยงกัน แต่มาสรุปที่หน้า 7 ที่ผมได้ขีดเส้นใต้สีแดง กล่าวโดยย่อคือ ผมแสดงหลักฐานที่ทางคณะกรรมการกระทรวงแรงงานมีหนังสือเชิญให้ข้อมูล เพราะผมได้ร้องเรียนที่สำนักนายก ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เป็นผคู้เสียหายโดยตรง แต่เพราะผมเป็นประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการและตัวผมก็เป็นคนพิการ ผมจึงออกมาพิทักษ์สิทธิ์คนพิการโดยสุจริต อีกทั้งโจทก์ก็ยืนยันในคำให้การชั้นสืบพยานว่า มีการโกงทุจริตคนพิการจริงในประเทศไทย ส่งผลทำให้ในหน้าที่ 8 นั้น คณะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงพิจารณาได้ว่า "ผมกระทำการโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1)"


ในหน้า 8-9 คำพิพากษาจึงเชื่อมโยงกันให้เห็นว่า คณะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เห็นพ้องด้วย การอุทธรณ์ของผมซึ่งทนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ได้ทำอุทธรณ์และแก้อุทธรณ์ของฝ่ายโจทก์ นั้น "ฟังขึ้น" มาถึงตรงนี้ ส่วนตัวผมขอแบ่งปันความคิด ในวันที่ผมฟังคำพิพากษาของท่านผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ทนายแนะนำผมว่า ผมไม่ต้องกังวลใจอะไรไป เนื่องจากหากพิจารณาตามประสบการณ์เกือบ 30 ปีของทนายนั้น ท่านผู้พิพากษาท่านทราบดีว่า คดีนี้ไปถึงชั้นอุทธรณ์แน่นอน ดังนั้นในชั้นอุทธรณ์นั้น มีแนวโน้มที่จะพิจารณาข้อมูลหลักฐานตามกรอบมาตรา 329 ซึ่งทนายฝ่ายผมก็ให้กำลังใจว่า ท่านผู้พิพากษาต้องมองเห็นผลงานการช่วยเหลือสังคมที่ผมทำมาตลอด 10 กว่าปีประกอบการพิจารณามาตรา 329 ครับ

และในประโยคสุดท้ายในหน้าที่ 9 คือ "ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป" ตรงนี้ผมยังไม่ได้สนทนาสอบถามจากทนายว่ามีความหมายว่าอย่างไร เบื้องต้นผมขอตีความเอาเองว่า น่าจะมีความหมายว่า ผมอาจจะส่งข้อมูลหลักฐานมากเกินไปเพื่อยกอ้างตามที่ทนายเขียนคำอุทธรณ์ ***ตรงนี้หากผมมีความคืบหน้า ผมจะมาปรับเนื้อหาให้นะครับ (ขอใส่???? ไว้พิกัดจุดสังเกตไว้ก่อนครับ)

ดังนั้นแล้วคณะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึง "พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง" ซึ่งนับเป็นข่าวดีที่ได้รับฟังคำพิพากษา "ยกฟ้อง" ในชั้นอุทธรณ์ทั้ง 2 คดี หรือเรียกว่า ผมใช้ความอดทนสังขารร่างกายของผมจนรอผลว่าชนะคดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสุจริต ความจริง เท่านั้นที่ถาวร ครับ



สำหรับคดีที่ 2_อาญา หมิ่นประมาท ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คดีนี้นั้น มีจุดสำคัญอยู่ที่ตัวผู้นำคนพิการระดับพื้นที่ที่ฟ้องผม เพราะเขายังฟ้องแพ่งผมในคดีที่ 5 ต่อเนื่องจากคดีนี้ ดังนั้นเฉพาะคดีนี้ ผมจึงตัดสินใจพิมพ์เป็นบทความไว้ 3 ตอน บทความที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้นำคนพิการคนนี้ จะเป็นเนื้อเป็นหนังในภาคที่ 1 นะครับ รอคอยคิดตามอ่านกันครับ แล้วทุกท่านจะทราบกลวิธีต่างๆ เพื่อนำไปเป็นข้อพึงระวัง หากท่านเป็นคนพิการจะได้ทราบไว้ปกป้องสิทธิ์ตัวท่านเอง แต่หากท่านเป็นสถานประกอบการ ท่านจะได้ระวังตัว ไม่ไปหลวมตัวใช้สิทธิ์คนพิการกับพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพื่อร่วมไม้ร่วมมือกันให้เกิดการใช้สิทธิตามมาตราต่างๆ กับคนพิการโดยตรง และจะทำให้คนพิการและครอบครัว สามารถลืมตาอ้าปาก มีอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืนต่อไปครับ

ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณคณะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และกระบวนการยุติธรรม

พิมพ์เผยแพร่เมื่อ 25 เม.ย.63

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น