หน้าเว็บ

24 เม.ย.63 @ "คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1" คดีที่ 1 อาญา_แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตอนที่ 1/2 @ "ศาลอุทธรณืภาค ๑ พิพากษาให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น" ภาพยนตร์พึ่งเริ่มฉายครับ

สวัสดีครับทุกท่าน บทความตอนนี้จะยาวสักนิดนะครับ ผมอยากให้อ่านให้จบ เพราะว่าท่านจะได้รับความรู้มากมาย ผมจะพิมพ์ตามที่ผมรู้ผมสงสัยผมเข้าใจ ท้าวความสั้นๆ ว่า สืบเนื่องจากมีปฐมบทแห่งเหตุของการเริ่มต้นมหากาพย์การเริ่มต้นเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตโกงสิทธิ์คนพิการ (ซึ่งผมจะได้พิมพ์ให้อ่านเร็วๆ นี้นะครับ) มีตัวละครมากมายที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในตัวละครที่เกี่ยวข้อง คือคนพิการคนหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีการฟ้องศาลโดยตรงว่า ผมแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และผมได้ขึ้นศาลอย่างยากลำบากมาโดยตลอดเพราะผมพิการรุนแรงกระดูกคอหัก ดังนั้นปกติก็ใช้ชีวิตลำบากอยู่แล้ว แต่กลับต้องขึ้นศาลพร้อมๆ กันถึง 4 คดีในช่วงเวลาเดียว แต่ปัจจุบันก็เป็น 5 คดี เพราะมีคดีแพ่งเพิ่มเข้ามา แต่ถ้าจะรวมว่ามี 6 คดีก็นับได้นะครับ เพราะมีรองผู้กำกับสถานีตำรวจแห่งหนึ่งใน กทม. โทรคุยกับผมว่ามีคนไปแจ้งความดำเนินคดีกับผมด้วยอีก 1 คดี ซึ่งตัวผมเองก็รอหมายเรียกอยู่ครับ

กลับมาที่คดีที่ผมต้องเป็นจำเลย ในคดีแจ้งความเท็จนี้ ผมเรียกว่า "คดีที่ 1" ในชั้นศาลชั้นต้นได้มี คำพิพากษา "ยกฟ้อง" ไปแล้ว สามารถอ่านบทความที่ลิงก์นี้ครับ https://npr-pwd.blogspot.com/2019/09/11.html แต่ฝ่ายตรงข้ามหรือโจทก์ยังติดใจจึงอุทธรณ์ ทางเราก็ทำแก้อุทธรณ์มาส่งที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนผมได้รับหมายเรียกให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในวันที่ 24 เม.ย.63 ผมกับภรรยาก็มาตามศาลนัด

ซึ่งคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็ได้มีคำพิพากษา "ยกฟ้องยืนตามศาลชั้นต้น" ตลอดการอ่านคำพิพากษา และผมกลับมาอ่านที่บ้าน ผมขอขยายความตามที่ผมเข้าใจ และขออธิบายเพิ่มเติมตามข้อเท็จจริงของเหตุการณ์จริงควบคู่กันไปด้วย ดังนั้นถ้าทุกท่านได้อ่านจนจบ ท่านจะได้ทั้งความรู้ความเข้าใจ และความจริง ควบคู่กันไปด้วยครับ ซึ่งบทความชุด "5 ภาคโกงคนพิการ" นี้ ผมอุทิศเวลาเพื่อเป็นวิทยาทานกับทุกท่านครับ แน่นอนผมจะพิมพ์บทความอะไร จะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลหลักฐาน และความจริง เท่านั้นครับ

ผมจั่วหัวภาพแรกเป็นผลคำพิพากษา "ยกฟ้องยืนตามศาลชั้นต้น" มาแปะให้ทราบกันก่อนนะครับ


เดิมทีผมเคยอยากเล่าเรื่องความจริงตั้งแต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วละครับ แต่ผมเห็นว่า ทางฝ่ายตรงข้ามมีการอุทธรณ์ ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวความจริงในบทความนี้แทนครับ สำหรับรายละเอียดเชิงลึกมากๆ ผมจะเปิดเผยใน "ภาคที่ 1 ปฐมบทของการขับเคลื่อนพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ" จึงขออ้างอิงที่มาแบบพอสังเขป ดังนี้

ผมเคยให้โอกาสผู้นำคนพิการระดับจังหวัดคนหนึ่ง ที่สารภาพกับผมว่า เคยทุจริตมาก่อน โดยจำยอมต้องกระทำการทุจริตเพราะมีหลายสาเหตุบังคับให้จำยอมต้องทำโดยกระทำการให้กับนายกสมาคมคนพิการแห่งหนึ่ง ผมจึงให้โอกาสกลับเนื้อกลับใจมาร่วมกระทำความดี ช่วยเหลือคนพิการร่วมกัน โดยผู้นำคนพิการคนนี้ตั้งใจจะให้ผมนำสิทธิมาตรา 35 ที่สถานประกกอบการที่ต้องจ้างงานคนพิการมาส่งเสริมพัฒนาอาชีพผ่านการอบรมตามกฎหมาย พร้อมกันนี้ผู้นำคนพิการคนนี้ยังนำข้อมูลทุจริตของนายกสมาคมคนพิการแห่งนั้นมาให้ผม อีกทั้งตัวผู้นำคนพิการคนนี้ยังเป็นผู้เสียหายร่วม และร่วมเขียนคำร้องเรียนด้วยลายือตัวเอง กอปรกับมีการร้องเรียนจากคนพิการจังหวัดนครปฐมเข้ามาจำนวนหนึ่ง ทำให้ในปี 2559 ผมจึงจัดตั้ง "เครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ"

ต่อมาผมได้จัดการอบรมให้กับสถานประกอบการจนได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาและดำเนินการแทนสถานประกอบการจำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทญี่ปุ่น 2 แห่ง และธนาคาร 1 แห่ง โดยผู้นำคนพิการคนนี้ยังได้รับการมอบหมายจากผมในการเฟ้นหาคนพิการเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากเขาเป็นผู้เสนอว่าอยากให้คนพิการในจังหวัดที่เขาเป็นผู้นำได้รับโอกาส แน่นอว่าถ้าผู้นำคนพิการคนนี้ไม่ได้ขอไว้ว่าจะขอให้สิทธิ์คนพิการในจังหวัดตัวเอง ผมย่อมมีความสามารถประกาศรับสมัครคนพิการเข้าร่วมโครงการได้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะตามข้อเท็จจริงมีขบวนการที่จะทำลายชื่อเสียงของผม มีผู้นำคนพิการอีกจังหวัดหนึ่งร่วมมือกับผู้นำคนพิการคนนี้ ถอนสิทธิ์คนพิการออกก่อนเริ่มโครงการเพียง 1 สัปดาห์

แต่โครงการที่ผมดูแลไม่ได้พังครืนลงมาเพราะว่า ผมกับภรรยาสังหรณ์ใจ คือเราสองคนจะมีสัญชาตญาณในการใช้ชีวิตไม่ประมาทอยู่เสมอ เราพิจารณาเห็นความผิดปกติหลายเรื่อง จึงเตรียมการหาคนพิการสำรองไว้ถึง 80 ราย เมื่อขบวนการทุจริตนี้ กลั่นแกล้งผม ถอนกำลังคนออกเพื่อให้ผมผิดสัญญาไม่สามารถจัดทำโครงการสำเร็จ ผมจึงติดต่อคนพิการสำรองทั้งหมดเข้าร่วมโครงการทันท่วงที จากนั้นผู้นำคนพิการคนนี้ที่มาฟ้องผมในคดีนี้ ยังคงฝังตัวร่วมโครงการที่ผมดำเนินการอยู่ จนล่วงเลยมา ประมาณ 40 วัน ผู้นำคนพิการคนนี้เริ่มแผนการณ์ที่จะทำให้โครงการที่ผมดูแลล่ม ด้วยการถอนคนออกอีก รวมถึงตัวเขาด้วย ด้วยการไม่มาอบรม และจะนำเรื่องไม่มาอบรมเป็นเหตุไปร้องเรียนว่า ผมอบรมไม่ครบจำนวน ผมจึงเติมคนพิการสำรองเข้าไปอีก ผมสามารถแก้ปัญหาได้ทันทีและถูกต้องตามกฎหมายเพราะมีรายงานการประชุม มีการทำหนังสือถามไปยังหน่วยงานราชการ แน่นอนว่าผมสามารถแก้ปัญหาได้ทัน และสถานประกอบการไม่ถูกปรับเงิน แต่สถานประกอบการก็มีมุมมองว่า มันเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านี้วางแผนมาแล้ว แ่ตลอดเวลาก็ไม่สามารถล้มโครงการที่ผมดูแลได้

ตลอดวลาคนพิการที่ร่วมโครงการ ได้บอกเล่ากับผมว่า ผู้นำคนพิการคนนี้ต่อว่าด่าทอผม ใส่ร้ายป้ายสี เวลานั่งอยู่ในรถตั้งแต่ต้นทางยันถึงสถานที่อบรมแทบทุกวัน แต่ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ผู้นำคนพิการคนนี้ ได้ต่อว่าผมด้วยคำพูดที่ว่า "มันก็โกงเหมือนกันทั้งนั้นละ" ตามคำฟ้องของผู้นำคนพิการคนนี้ ว่าผมกับจำเลยที่ 2 ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และในท้ายที่สุดผมเองก็ต่อสู้จนมีคำพิพากษา "ยกฟ้อง" ทั้ง 2 ศาล คือ ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ // สำหรับรายละเอียดพร้อมหลักฐานการวางแผนล้มโครงการที่ผมดูแล รอติดตามอ่านกันนะครับ เร็วๆ นี้ครับ



สำหรับความรู้ที่ผมอยากแบ่งปันในหน้าที่ 3 ของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ผมขีดเส้นใต้สีแดงไว้ แสดงให้เห็นว่า ในระดับของศาลอุทธรณ์นั้นจะมีผู้พิพากษาเป็นคณะในการวินิจฉัย และภาษาทั่วไปของนักกฎหมายจะเรียกท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า "ผู้พิพากษาศาลสูง" ซึ่งกว่าจะได้เป็นผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์ได้ ต้องมีผลงานการตัดสินคดีที่ผมคิดเองว่า มีความยุติธรรมตามข้อกำหนดหรือนับแต้มจนได้เป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ครับ





สำหรับในหน้าที่ 4-7 ผมขอเล่าย่อๆ ดังนี้นะครับ ฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายโจทก์ มีพยานมา 2 คน คนหนึ่งเป็นตำรวจ อีกคนคือภรรยาของโจทก์
  • คำให้การของภรรยาโจทก์ ให้การในลักษณะที่ตัวผมกับโจทก์ ทะเลาะกัน ดังนั้น การที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เหตุใดผมจึงไม่โทรคุยกับโจทก์ ผู้พิพากษาจึงวินิจฉัยว่า ผมก็คงไม่โทรไปหาโจทก์ เพราะมีเหตุขัดแย้งกัน อีกทั้งก็อาจเป็นมูลเหตุให้เชื่อจำเลยที่ 2 ได้โดยง่ายว่าโจทก์มาต่อว่าหมิ่นประมาทผม
  • คำให้การของตำรวจ ทำให้รู้ข้อเท็จจริงว่า ผมไปแจ้งความผู้นำคนพิการคนนี้ว่าหมิ่นประมาทผม  เพราะฟังจากจำเลยที่ 2 ดังนั้น ผมแจ้งความไปตามที่ได้ยินมา และจำเลยที่ 2 เป็นพยานในการแจ้งความ ซึ่งตรงนี้มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมตรงที่ ไม่ได้มีการวินิจฉัยเรื่องผลประโยชน์ใดๆ ที่ฝ่ายโจทก์กล่าวอ้างว่าผมกับจำเลยที่ 2 ร่วมมือกัน




สำหรับหน้า 8 ซึ่งเป็นเนื้อหาสรุปคำพิพากษา "ยกฟ้องยืนตามศาลชั้นต้น" ผมสนใจประโยค "พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวย่อมไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ....." เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ผมอยากพิมพ์เรื่องราวอีกมากมายให้ทุกท่านอ่านนะครับ เช่น พฤติกรรมของโจทก์ ทั้งหน้าห้องพิจารณาคดี ทั้งในห้อง หรือแม้แต่การพิมพ์ข้อความในอินเตอร์เน็ต ที่โกหกมดเท็จ แทบไม่มีความจริง เปรียบเสมือนคนที่หลอกตัวเองอยู่ แต่ผมก็ตัดสินใจไม่พิมพ์ แม้ว่าหลายๆ ข้อมูลจะสามารถเชื่อมโยงกับบทความของผมได้ครับ ทุกท่านรออ่านตอนที่ 2/2 นะครับ เพราะเป็นผลสืบเนื่องจากผลคำพิพากษายกฟ้องของทั้ง 2 ศาล ครับ

ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณคณะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และกระบวนการยุติธรรม

พิมพ์เผยแพร่เมื่อ 25 เม.ย.63

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น